
รายได้เท่าไหร่ควรจดบริษัท ถึงจะคุ้มค่า และไม่เสียภาษีเกินจำเป็น
หลายคนที่เริ่มทำธุรกิจมักเริ่มต้นในนามบุคคลธรรมดา เพราะดำเนินการง่าย ค่าใช้จ่ายต่ำ และภาระทางบัญชีไม่ซับซ้อน แต่เมื่อรายได้เติบโตขึ้น จุดหนึ่งที่มักเกิดคำถามสำคัญคือ “รายได้เท่าไหร่ควรจดบริษัท ถึงจะคุ้มภาษีและต้นทุน?”
บทความนี้จะพาคุณเปรียบเทียบข้อดีของการจดบริษัท เทียบกับการเสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา พร้อมคำแนะนำที่ช่วยให้คุณวางแผนธุรกิจได้อย่างคุ้มค่าทางภาษีที่สุด
เปรียบเทียบภาษีบุคคลธรรมดาและบริษัท แบบไหนจ่ายมากกว่ากัน
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- คิดตามขั้นบันได รายได้ยิ่งสูง ยิ่งเสียภาษีมาก
- เริ่มเสียภาษีเมื่อรายได้สุทธิเกิน 150,000 บาท
- อัตราสูงสุดถึง 35% สำหรับรายได้สุทธิเกิน 5 ล้านบาท
- มีค่าลดหย่อนส่วนตัว เช่น ค่าครอบครัว ประกัน สุขภาพ ดอกเบี้ยบ้าน ฯลฯ
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
- บริษัท SME ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้าน และรายได้ไม่เกิน 30 ล้าน จะเสียภาษีแบบขั้นบันได:
- กำไรสุทธิ 0 – 300,000 บาท: ยกเว้นภาษี
- 300,001 – 3,000,000 บาท: เสีย 15%
- มากกว่า 3,000,000 บาท: เสีย 20%
- บริษัททั่วไป เสีย 20% ของกำไรสุทธิตั้งแต่บาทแรก
สรุป: บุคคลธรรมดาอาจเสียภาษีมากกว่าบริษัท SME หากรายได้เริ่มแตะหลักแสนปลาย ๆ ถึงหลักล้านต้น ๆ ต่อปี อ่าน ตัวอย่างการคำนวณภาษีของบริษัทแบบเข้าใจง่าย ไม่ปวดหัว
รายได้เท่าไหร่ควรจดบริษัท?
เคสเปรียบเทียบ ถ้ามีกำไรสุทธิ 800,000 บาทต่อปี ลองมาดูตัวอย่างง่าย ๆ เพื่อเข้าใจภาพรวมของภาระภาษี:
แบบบุคคลธรรมดา:
ด้วยกำไรสุทธิ 800,000 บาท และไม่มีค่าลดหย่อนใด ๆ
จะต้องเสียภาษีแบบขั้นบันไดประมาณ:
- 5% สำหรับ 150,001 – 300,000 = 7,500 บาท
- 10% สำหรับ 300,001 – 500,000 = 20,000 บาท
- 15% สำหรับ 500,001 – 750,000 = 37,500 บาท
- 20% สำหรับ 750,001 – 800,000 = 10,000 บาท
รวมประมาณ 75,000 บาท
แบบบริษัท SME:
- 0 – 300,000 บาทแรก: ได้รับยกเว้น
- 300,001 – 800,000 บาท = 500,000 × 15% = 75,000 บาท
ดังนั้น:
เมื่อ “กำไรสุทธิ” ของคุณมากกว่า 800,000 - 1,000,000 บาท/ปี ขึ้นไป การจดทะเบียนบริษัทเริ่มเป็นตัวเลือกที่ “คุ้มภาษี” มากกว่า

ข้อดีของการจดบริษัท ไม่ใช่แค่เรื่องภาษี
- หักค่าใช้จ่ายได้เต็มที่: ค่าใช้จ่ายธุรกิจทุกอย่าง เช่น เงินเดือน, ค่าเช่า, ค่าสินค้า, ค่าโฆษณา – หักได้หมดถ้ามีหลักฐานถูกต้อง
- วางแผนภาษีได้: แบ่งรายได้เป็นเงินเดือนให้เจ้าของและหุ้นส่วน ช่วยเฉลี่ยภาษีให้ถูกลงในแต่ละบุคคล
- ยกยอดขาดทุนได้ 5 ปี: บริษัทที่ขาดทุนในปีแรก ยังนำไปหักกำไรในอนาคตได้
- สิทธิลดหย่อนเฉพาะนิติบุคคล: เช่น หักสองเท่าจากการจ้างงาน หรือสิทธิลดหย่อนจาก BOI
ปัจจัยอื่นที่ควรพิจารณานอกจากเรื่องภาษี
แม้ภาษีจะเป็นเหตุผลหลักในการจดบริษัท แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อความสำเร็จในระยะยาว:
- ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ: บริษัทจดทะเบียนมีความน่าเชื่อถือมากกว่าในสายตาคู่ค้าและลูกค้า
- เข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายขึ้น: มีโอกาสขอสินเชื่อ และเข้าร่วมโครงการสนับสนุนจากรัฐ
- วางแผนขยายกิจการได้ง่าย: เช่น การมีพาร์ตเนอร์ การระดมทุน หรือสร้างทีมงาน
- แยกทรัพย์สินส่วนตัวออกจากกิจการ: ลดความเสี่ยงหากเกิดข้อพิพาทหรือหนี้สิน
ค่าใช้จ่ายที่ต้องพิจารณาหากคิดจะจดบริษัท
รายการ | ประมาณการค่าใช้จ่าย |
---|---|
ค่าจดทะเบียนบริษัท | 6,000 – 11,000 บาท (รวมค่าบริการ) |
ค่าทำบัญชีรายเดือน | 2,000 – 5,000 บาท |
ค่าปิดงบประจำปี | เริ่มต้น 7,000 บาท |
ภาษีปันผล (ถ้ามี) | หัก ณ ที่จ่าย 10% |
สรุป: แม้บริษัทจะมีภาระต้นทุนมากขึ้น แต่ถ้ากำไรสุทธิเกิน 800,000 – 1,000,000 บาทต่อปี ก็อาจคุ้มค่ากว่าภาษีที่ประหยัดได้อย่างเห็นได้ชัด
สรุปแบบใช้ได้ทันที
- รายได้สุทธิน้อยกว่า 300,000 บาท/ปี: จดบริษัทหรือไม่ก็ยังใกล้เคียง (ภาษีต่ำทั้งคู่)
- รายได้สุทธิ 800,000 – 1,000,000 บาท/ปี: เริ่มพิจารณาจดบริษัทเพื่อจ่ายภาษีน้อยลง
- รายได้สุทธิเกิน 1,000,000 บาท/ปี: การจดบริษัทมัก คุ้มค่ากว่าชัดเจน
- อย่าลืมพิจารณาต้นทุนดำเนินงานของบริษัท เช่น ค่าบัญชี สอบบัญชี และการจัดทำงบการเงินด้วย
แล้วคุณล่ะ…พร้อมจดบริษัทหรือยัง?
หากคุณกำลังมีรายได้เติบโตต่อเนื่อง และอยากประหยัดภาษีอย่างถูกต้อง การจดทะเบียนบริษัทอาจเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้คุณเก็บเงินไว้กับธุรกิจได้มากขึ้น อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญบัญชีเพื่อวางแผนอย่างเหมาะสมตั้งแต่ต้น